สนิมกับวิธีการป้องกัน และการเลือกวัสดุ
สนิมเกิดจาก ?????
การกัดกร่อนของโลหะ
คือ ลักษณะการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติของโลหะ เนื่องจากปฏิกิริยาเคมี อันเป็นผลทำให้สภาพการใช้งานของโลหะนั้นๆ เสียหายก่อนถึงเวลาอันสมควร นับเป็นการสูญเสียอย่างมหาศาลต่องานที่ต้องใช้โลหะ เช่น อุตสาหกรรมหรือเกษตรกรรม เช่น ฟาร์มสุกรที่ใช้เหล็กทำซอง และคอกหมู, ฟาร์มไก่ไข่ที่ใช้ลวดทำกรงไก่ไข่
หลักการทั่วไปของการกัดกร่อนเกิดจากสาเหตุใหญ่ๆ คือ
- เกิดจากปฏิกิริยาทางเคมีโดยตรง ตัวอย่าง
- เกิดจากการทำปฏิกิริยาระหว่างผิวโลหะกับออกซิเจน โดยมีความชื้นกับอุณหภูมิที่สูง เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาเกิดเป็นเหล็กออกไซด์ (สนิมเหล็ก) มีลักษณะเป็นรูพรุน และเป็นสะเก็ดจับกันเป็นชั้นๆ กัดกร่อนลึกลงไปในเนื้อเหล็ก
- เกิดจากการกัดของกรด เช่น เหล็กถูกน้ำ หรือแช่ในน้ำที่มีสภาพเป็นกรด เกิดเป็นออกไซด์กัดกร่อนผิวโลหะ
- เกิดจากการรวมตัวของโลหะกับน้ำ คือ เหล็กแช่น้ำเกิดสนิม (ไฮดรอกไซด์ของโลหะ และก๊าซไฮโดรเจน)
- เกิดจากปฏิกิริยาทางเคมี - ไฟฟ้า ตัวอย่าง
- เกิดจากการส่งถ่ายอิออนในสารละลายอิเล็คโทรไลท์ เช่น การกัดกร่อนของแท่งเหล็กที่จุ่มในสารละลายคอปเปอร์ซัลเฟต
- ปฏิกิริยาระหว่างขั้วโลหะ 2 ขั้ว (ขั้วทองแดง +, ขั้วสังกะสี -) ที่จุ่มในสารละลายอิเล็กโทรไลท์ในแบตเตอรี่ หรือถ่านไฟฉาย ขั้วสังกะสีเป็นอโนดจะถูกกัดกร่อน เพราะอิเลคตรอนวิ่งออกจากขั้วสังกะสีไปขั้วทองแดงซึ่งเป็นคาโทด เมื่อกระแสไฟฟ้าไหลครบวงจรในการใช้งานของแบตเตอรี่
จุดประสงค์ในการป้องกันการกัดกร่อน
- เพื่อรักษาคุณสมบัติของโลหะไว้ได้นานๆ ไม่ให้เกิดการกัดกร่อนผุพัง
- ผิวสะอาดและเป็นมันสวยงามจากการป้องกันวิธีต่างๆ
- ถ้าต้องการทาสีที่ผิวงาน สีจะเกาะได้แน่นกับผิวงาน
วิธีการป้องกันการกัดกร่อน
- อาบผิวโลหะด้วยน้ำมัน เช่น น้ำมันเครื่อง, ไขพาราฟิน, วาสลีน, น้ำมันกันสนิม ชิ้นงานอาจเลอะ, มีฝุ่นจับ และคราบสกปรก
- การทา หรือพ่นสี มี 3 ขั้นตอนในอุตสาหกรรมรถยนต์ (1) พ่นสีพื้น (2) พ่นสีโป๊ว (3) พ่นสีแลคเกอร์ ค่าแรงจะสูงเพราะเป็นช่างฝีมือ
- การเคลือบผิวด้วยน้ำยาเคลือบผิว โดยจุ่ม พ่นหรือทา แล้วนำไปอบในเตาที่อุณหภูมิ 600 - 900 °C น้ำยาที่เคลือบผิวจะแข็งทนต่อความร้อน และปฏิกิริยาเคมี แต่จะเปราะ, กระเทาะและแตกหักง่าย ตัวอย่าง เช่น ช้อน, ปิ่นโต, จานเคลือบ
- ป้องกันผิวด้วยวิธีทางเคมี
- วิธีรมดำ ชุบชิ้นงานในน้ำมันลินซัดที่ผสมขี้ผึ้ง 3-5 % แล้วนำไปลนไฟที่อุณหภูมิ 450 °C ในเตาเผาเหล็ก โดยทำซ้ำหลายๆ ครั้ง ผิวโลหะจะมีฟิล์มเคลือบเป็นสีดำ เช่น ปืน หรือโลหะตกแต่งบ้านที่รมดำ
- วิธีชุบฟอสเฟต เป็นน้ำยาแมงกานีสฟอสเฟต หรือสังกะสีฟอสเฟต เป็นการเคลือบผิวชิ้นงานเพื่อป้องกันการกัดกร่อน ก่อนพ่นสีบนผิวเหล็ก ทำให้ติดได้ง่าย เช่น ตัวถังรถยนต์, ตู้เย็น
- กรงชุบสีดำอี.ดี.พี. เป็นสารโพลีเมอร์ โพลีเอสเตอร์ ที่พ่นชิ้นงานและอบที่อุณหภูมิ 230 °C ชิ้นงานไม่ทนต่อแสงยูวีต้องใช้ในร่ม หรือมีการพ่นสีทับอีกชั้นหนึ่ง เช่น ตัวถังรถยนต์, กรงไก่ไข่ หรืออุปกรณ์ที่ใช้ในร่ม เช่น พัดลม, ก้านร่ม
- การเคลือบผิวด้วยโลหะที่ทนการกัดกร่อนได้ดีกว่า ก. การป้องกันผิวโลหะโดยการชุบเคลือบด้วยโลหะนิเกิ้ล หรือโครเมียม ผิวโลหะมีความสวยงามแต่หากมีรอยจะหลุดร่อนกระเทาะได้ ทำให้เกิดการกัดกร่อน ต้องนำไปชุบใหม่ เช่น อุปกรณ์ตกแต่งรถยนต์ ข. การชุบเคลือบชิ้นงานที่เป็นอลูมิเนียม เป็นอลูมิเนียมออกไซด์มีลักษณะฟิล์มบางๆ เคลือบรอยผิวชิ้นงานที่เป็นอลูมิเนียม
- การเคลือบผิวด้วยพลาสติก ก. การชุบ หรือจุ่มในสารละลายพลาสติกแล้วนำไปอบในเตา พลาสติกจะเคลือบแน่นติดกับผิวโลหะ ข. พลาสติกอ่อนมาหลอมแล้วเป่าอัดลงไปพอกผิวโลหะชิ้นงานความหนา 0.8-1.2 มม. ตัวอย่าง พื้นเก้าอี้นั่งในสนามกีฬา, ไม้แขวนเสื้อ, ชั้นวางจานชาม เหมาะใช้ในร่ม เพื่อป้องกันมิให้พลาสติกที่หุ้มเกิดการฉีก หรือแตก มิฉะนั้นจะทำให้โลหะข้างในผุกร่อนได้
- การชุบสังกะสีแบบไฟฟ้า ความหนาสังกะสี 2.5 - 4.5 ไมครอน สำหรับชิ้นงานที่เล็ก และบางเน้นความสวยงาม ไม่เน้นความทนทาน เช่น ตะปู, น๊อต, บานพับ
- การชุบฮ็อทดิบกัลวาไนท์
(แบบจุ่มร้อน) นำชิ้นงานไปชุบในบ่อสังกะสีที่อุณหภูมิประมาณ 450 °C สังกะสีจะซึมเข้าโมเลกุลเนื้อเหล็ก เคลือบได้หนาตั้งแต่ 50 - 150 ไมครอน สังกะสีมีความต้านทานการผุกร่อนดีกว่าเหล็ก 20 - 80 เท่า ขึ้นอยู่กับความหนาของสังกะสี และสภาพแวดล้อมที่จะนำไปใช้งาน เหมาะสำหรับงานที่ต้องการความคงทนถาวร เช่น เสาไฟฟ้า, โครงสร้างโรงงาน, แผงกั้นถนน, คอกสุกร, กรงไก่ไข่ งานสามารถนำไปใช้งานกลางแจ้งได้ อายุการใช้งานในชนบท 45 ปี ชายทะเล 30 ปี เขตอุตสาหกรรม 21 ปี ฟาร์มหมู, กรงไก่ไข่ 10 ปีขึ้นไป - เลือกใช้วัสดุอื่น ที่มีความแข็งแรงทนทาน ไม่มีการกัดกร่อนและไม่เป็นสนิม เช่น พลาสติกพี.วี.ซี. (แผงคอกสุกรพี.วี.ซี.), แสตนเลส (อุปกรณ์ทางการแพทย์หรืออุปกรณ์ในการผลิตอาหาร), คอนกรีต, ไม้, ไฟเบอร์ ฯลฯ
สรุป
การเลือกใช้วัสดุจึงขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ดังนี้ วัตถุประสงค์ใช้ทำอะไร? ประโยชน์ที่ได้? ทนทานไหม? คุ้มค่าลงทุนไหม? ข้อมูลเพิ่มเติมอื่นๆ? เปรียบเทียบข้อมูลต่างๆ? และการตัดสินใจขั้นสุดท้ายของท่านในการเลือกใช้งาน